วิธีการดูแลรักษาตู้เย็นให้ใช้งานได้นานและประหยัดไฟ
ตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความสำคัญอย่างมากในครัวเรือน เพราะทำหน้าที่ในการรักษาอาหารและเครื่องดื่มให้คงความสดใหม่และปลอดภัยต่อการบริโภค วิธีการดูแลรักษาตู้เย็นอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้งานและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ โดยบทความนี้จะมาแนะนำวิธีดูแลรักษาตู้เย็นด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ ที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ เพื่อช่วยให้ตู้เย็นที่บ้านของคุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
10 วิธีการดูแลรักษาตู้เย็นที่ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
ถ้าคุณมีวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นอย่างถูกวิธี ตู้เย็นจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น ซึ่งวิธีการดูแลตู้เย็นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยมีหลากหลายวิธีที่คุณทำได้ด้วยตัวเอง และในหัวข้อนี้เราจะมาดูกันว่า 10 วิธีดูแลตู้เย็นที่ทำได้ง่าย ๆ มีอะไรบ้าง
1. ทำความสะอาดตู้เย็นเป็นประจำ
การทำความสะอาดตู้เย็นเป็นวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าตู้เย็นสกปรกอาจทำให้เกิดการสะสมของคราบและกลิ่น ซึ่งส่งผลเสียต่อคุณภาพและรสชาติอาหาร รวมถึงเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคได้ โดยควรใช้น้ำยาทำความสะอาดและใช้ผ้านุ่มชุบน้ำยา เช็ดทำความสะอาดบริเวณต่าง ๆ ของตู้เย็นให้ทั่วถึง
2. จัดวางอาหารให้เหมาะสม
การจัดระเบียบตู้เย็นด้วยการวางอาหารและเครื่องดื่มอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ตู้เย็นทำงานได้ดี ประหยัดพลังงาน และรักษาคุณภาพของอาหารได้นานขึ้นด้วย โดยไม่ควรวางอาหารแน่นเกินไป แม้จะเป็นตู้เย็น Side by Side ที่มีขนาดใหญ่ก็ตาม เนื่องจากอาจเป็นการขวางกระแสลมไม่ให้ไหลเวียนได้สะดวก โดยควรเว้นช่องว่างระหว่างอาหารแต่ละชิ้นให้พอเหมาะ เพื่อรักษาคุณภาพ ความสดใหม่ และรสชาติได้เป็นเวลานาน
3. ปิดประตูตู้เย็นให้สนิททุกครั้ง
ไม่ว่าคุณจะใช้ตู้เย็น 2 ประตู หรือใช้ตู้เย็น Multi Door ก็ควรปิดประตูตู้เย็นให้สนิท ไม่เปิดค้างไว้นานเกินความจำเป็น เพราะการปิดประตูตู้เย็นให้สนิททุกครั้งหลังใช้งานจะช่วยป้องกันไม่ให้ความเย็นรั่วไหลออกจากตัวตู้เย็น แต่หากปิดประตูไม่สนิทจะทำให้ตู้เย็นไม่เย็นหรือตู้เย็นต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อรักษาอุณหภูมิและสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้นด้วย
4. ตั้งอุณหภูมิตู้เย็นให้เหมาะสม
โดยทั่วไปแล้วควรปรับอุณหภูมิตู้เย็นประมาณ 4 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นที่ยังคงรักษาคุณภาพของอาหารต่าง ๆ ได้ ถ้าตั้งอุณหภูมิต่ำมากจะทำให้เสียพลังงานโดยไม่จำเป็นและถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปอาจทำให้อาหารเน่าเสียได้ง่าย และในส่วนของช่องแช่แข็งควรตั้งอุณหภูมิที่ประมาณ -18 องศาเซลเซียส เพื่อให้อาหารแช่แข็งคงสภาพได้นานที่สุด
5. ไม่วางอาหารหรือเครื่องดื่มร้อนในตู้เย็น
การวางอาหารหรือเครื่องดื่มร้อนในตู้เย็นจะทำให้อุณหภูมิภายในตู้เย็นสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบจึงต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อระบายความร้อนและคืนอุณหภูมิให้เย็นลงตามค่าที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น เพื่อเป็นวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นไม่ให้ทำงานหนัก จึงควรปล่อยให้เย็นลงก่อนจนมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้องแล้วค่อยนำไปแช่เย็นจะดีที่สุด
6. เว้นระยะห่างระหว่างตู้เย็นกับผนัง
การจัดวางตู้เย็นควรมีพื้นที่โล่งโปร่งที่เพียงพอรอบ ๆ ตัวเครื่อง เพื่อให้มีช่องทางระบายอากาศที่ดี โดยอย่างน้อยควรเว้นระยะห่างจากผนังด้านหลังประมาณ 5-10 ซม. และระยะห่างจากผนังด้านข้างประมาณ 5 ซม. เพื่อให้อากาศรอบตู้เย็นไม่ถูกกีดขวางและสามารถไหลเวียนได้สะดวก
7. กำจัดน้ำแข็งที่สะสมในตู้เย็นอยู่เสมอ
การกำจัดน้ำแข็งที่สะสมในช่องแช่แข็งเป็นวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นที่ต้องทำเป็นประจำ เพราะน้ำแข็งที่เกาะผนังตู้เย็นจะเป็นฉนวนกั้นไม่ให้ความเย็นแพร่กระจายไปยังของที่อยู่ด้านในหรือกระจายได้ไม่ทั่วถึง ดังนั้น จึงควรหมั่นละลายน้ำแข็งอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยทุก 3-6 เดือน โดยวิธีการง่าย ๆ ด้วยการปิดสวิตช์ตู้เย็นหรือกดโหมดละลายน้ำแข็งแล้วรอให้น้ำแข็งละลายจนหมด
8. ตรวจสอบขอบยางประตูตู้เย็น
ขอบยางประตูตู้เย็นที่อยู่ในสภาพที่ดีจะช่วยปิดผนึกความเย็นไว้ภายในตู้เย็นได้อย่างมิดชิด ป้องกันไม่ให้ความเย็นรั่วไหลออกสู่ภายนอก ขณะเดียวกันก็ช่วยไม่ให้อากาศร้อนจากภายนอกเข้าไปในตู้เย็นได้ด้วย จึงเป็นวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน โดยควรตรวจสอบขอบยางประตูตู้เย็นอย่างน้อยทุก 6 เดือน
9. ไม่วางตู้เย็นใกล้เตา หม้อหุงข้าว หรือที่ที่มีความร้อน
การเลือกตำแหน่งวางตู้เย็นให้ห่างจากแหล่งกำเนิดความร้อน เช่น เตาไฟ หม้อหุงข้าว หรือของที่ปล่อยความร้อนออกมา เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากความร้อนจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของตู้เย็นโดยตรง และถ้าถามว่าวางตู้เย็นตรงไหนดี ขอแนะนำให้วางตู้เย็นให้ห่างจากแหล่งความร้อนอย่างน้อย 30 เซนติเมตร เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการระบายอากาศ
10. ตรวจสอบสภาพตู้เย็นเป็นประจำ
การตรวจสอบสภาพและการทำงานของตู้เย็นเป็นประจำเป็นวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นในเบื้องต้นซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกและดำเนินการแก้ไขได้ทันท่วงที ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ซับซ้อนและเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น โดยถ้าเป็นปัญหาที่แก้ไขเองไม่ได้ ควรรีบติดต่อช่างซ่อมตู้เย็นที่มีประสบการณ์เข้ามาตรวจสอบ
ถ้าไม่ดูแลรักษาตู้เย็นหรือบำรุงรักษาไม่ถูกวิธีจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง?
ตู้เย็นเป็นสิ่งที่ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน ถ้าคุณละเลยการดูแลรักษาหรือมีวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นแบบผิด ๆ อาจมีผลเสียต่อทั้งตัวตู้เย็น อาหารที่เก็บไว้ และสุขอนามัยของผู้ใช้งานได้ ลองจินตนาการดูว่าถ้าตู้เย็นของคุณเสียบ่อยจนทำให้อาหารเน่าเสียหรือกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค ก็จะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้ โดยมีปัญหาที่อาจเกิดขึ้นถ้าคุณไม่ดูแลรักษาตู้เย็น ดังนี้
ตู้เย็นไม่เย็น ปัญหาที่อาจแก้ได้ด้วยการจัดตู้เย็นใหม่
ถ้าคุณมีวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นไม่ถูกต้องหรือไม่ทำอย่างสม่ำเสมออาจทำให้ตู้เย็นไม่สามารถรักษาอุณหภูมิตามที่ต้องการได้ โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ตู้เย็นไม่เย็นมีด้วยกันหลายประการ เช่น การสะสมของคราบสกปรก ช่องลมอุดตัน ระบบท่อของตู้เย็นรั่ว รวมถึงปัญหาจากตัวกรองอากาศและขอบประตูตู้เย็นชำรุด ดังนั้น จึงควรดูแลตู้เย็นเป็นประจำเพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้
ตู้เย็นมีกลิ่นหรือระบบระบายอากาศไม่ดี
การไม่รักษาความสะอาดของตู้เย็นอาจนำไปสู่ปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยสาเหตุหลักมาจากการสะสมของคราบอาหาร ละอองน้ำ และซากจุลินทรีย์ต่าง ๆ ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน สิ่งสกปรกก็จะเริ่มย่อยสลายและก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นอับ ดังนั้น การทำความสะอาดตู้เย็นทั้งภายในและภายนอกอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการดับกลิ่นตู้เย็นไม่ให้มีกลิ่นรบกวนและช่วยรักษาสภาพแวดล้อมที่ดีภายในครัวเรือนด้วย
ตู้เย็นใช้พลังงานมากเกินความจำเป็น
การใช้ไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น เป็นหนึ่งในปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นอย่างถูกวิธี เพราะตู้เย็นต้องทำงานหนักเพื่อรักษาอุณหภูมิ จากของที่แช่ไว้ในปริมาณมากจนเกินไป สิ่งสกปรกที่สะสม หรือปัญหาจากการใช้งานผิดวิธี เช่น เปิดตู้เย็นค้างไว้หรือเปิดตู้เย็นบ่อย ๆ จนทำให้ตู้เย็นต้องใช้พลังงานมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างไม่จำเป็น
การเลือกซื้อตู้เย็นเลือกอย่างไร ควรเลือกตู้เย็นแบบไหน ที่ดูแลรักษาง่าย
การเลือกซื้อตู้เย็นที่มีฟังก์ชันการใช้งานและคุณสมบัติที่เหมาะสมจะทำให้คุณมีวิธีการดูแลรักษาตู้เย็นที่สามารถทำได้ง่าย ประหยัดเวลา และสะดวกขึ้น โดยถ้าคุณกำลังอยู่ในช่วงของการตัดสินใจหรือวางแผนที่จะซื้อตู้เย็นใหม่ก็มีปัจจัยหลัก ๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อ เพื่อให้ง่ายต่อการบำรุงรักษาตู้เย็น ดังนี้
เลือกขนาดตู้เย็นที่พอเหมาะกับความต้องการใช้งาน ไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดการสิ้นเปลืองพลังงานหรือมีพื้นที่จัดเก็บไม่เพียงพอ
หลีกเลี่ยงตู้เย็นรุ่นที่มีฟังก์ชันซับซ้อนมากเกินความจำเป็น เพราะจะมีชิ้นส่วนและระบบการทำงานมากขึ้น ทำให้ยุ่งยากต่อการดูแลรักษา
เลือกตู้เย็นรุ่นที่ไม่ก่อให้เกิดน้ำแข็งข้างผนังตู้ เช่น ตู้เย็นที่มีช่องแยกสำหรับอุณหภูมิแช่แข็งโดยเฉพาะ เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาละลายน้ำแข็งที่สะสมอยู่ภายในเป็นประจำ
ดูฉลากประหยัดพลังงานเบอร์ 5 ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว
เลือกตู้เย็นที่มีการรับประกันและมีอะไหล่หาซื้อได้สะดวก
วิธีการดูแลรักษาตู้เย็นเพื่อให้ตู้เย็นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
วิธีการดูแลรักษาตู้เย็นเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานและประหยัดพลังงานได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดตู้เย็นอย่างสม่ำเสมอ จัดวางของอย่างเป็นระเบียบ รวมถึงการตรวจสอบอย่างทันท่วงทีเมื่อชำรุด จะมีส่วนในการช่วยรักษาประสิทธิภาพการทำความเย็นให้คงที่และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้อีกด้วย
โดยสำหรับใครที่มองหาตู้เย็นคุณภาพเยี่ยม ดูแลรักษาง่าย และมาพร้อมกับนวัตกรรมสมัยใหม่ ‘BEKO’ เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจด้วยมาตรฐานระดับยุโรป โดยใช้เทคโนโลยีระบบ ProSmart Inverter Compressor ที่สามารถควบคุมและปรับความเย็นได้อย่างแม่นยำ รวมถึงฟังก์ชันพิเศษต่าง ๆ อย่าง NeoFrost, AeroFlow, HarvestFresh และ NutriFreeze ที่ช่วยรักษาความสดใหม่ของอาหาร ทำให้ตู้เย็น BEKO เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการสำหรับทุกครอบครัว ซึ่งมาพร้อมกับการรับประกันคอมเพรสเซอร์นานถึง 12 ปี รับประกันตัวเครื่อง 2 ปี มีบริการถึงบ้านฟรี 2 ปี (On-site Service) มั่นใจด้วยคุณภาพจากยุโรป และศูนย์บริการทั่วไทย